ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ Fine Jewelry จากแบรนด์เครื่องประดับสุดเก่าแก่สัญชาติฝรั่งเศสอย่าง ‘Van Cleef & Arpels’ ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งไอเท็มเครื่องประดับยอดฮิตสำหรับสายแฟชาวไทย โดยเฉพาะเครื่องประดับจากไลน์ The Alhambra Collection ที่มีดีไซน์คล้ายกับใบโคลเวอร์ 4 แฉกอันโดดเด่น แต่หากเราศึกษาประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์เครื่องประดับสุดหรูนี้แล้ว เราจะพบว่าแบรนด์เครื่องประดับสุดเก่าแก่นี้นั้นเป็นแบรนด์เครื่องประดับที่ยกย่องและให้ความสำคัญกับความงามของอัญมณีและรัตนชาติอย่างยิ่งยวด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Van Cleef & Arpels ได้ยกย่องความงามของรัตนชาติอย่างต่อเนื่องโดยเฉลิมฉลองให้กับสีสัน ความสดใส และรูปร่างอันสง่างามของแร่สุดงามเหล่านั้น และเพื่อให้สอดคล้องกับปณิธานสุดแน่วแน่นี้ของเมซง Van Cleed & Arpels จึงได้รังสรรค์เหล่าคอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงหรือ High Jewelry Collection มาตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษ 2000 เพื่อเชิดชูความงามของมันไม่ว่าจะเป็น Collection of the Century คอลเลคชั่นไฮจิวเวลรีของแบรนด์ที่ออกมาในปี 2002 หรือ Pierres de Caractère ที่ออกมาในปี 2006 รวมถึง Pierres de Caractère – Variations, Émeraude en Majesté และ Treasure of Rubies ที่ออกมาในปี 2013 2016 และ 2019 ตามลำดับ
The Legend of Diamonds – 25 Mystery Set Jewels Collection
และในปีนี้เมซงสุดเก่าแก่แห่งนี้จะเปิดตัวคอลเลคชั่นเครื่องประดับสุดล้ำค่าที่ถูกแต่งแต้มด้วยเพชรสีขาวสุดเลอค่ามีชื่อว่า ‘The Legend of Diamonds – 25 Mystery Set Jewels Collection’ ซึ่งเป็นผลผลิตจากการเดินทางอันน่าหลงใหลที่ยาวนานและความเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องประดับของเมซงแห่งนี้ นอกจากนั้นมาตรฐานและรสนิยมชั้นเลิศของ Van Cleef & Arpels ยังส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านอัญมณีและการทำเครื่องประดับแขนงต่างๆ ที่อยู่รอบเมซงแห่งนี้ให้มีความมุ่งมั่นในการผลิตเครื่องประดับและเครื่องประดับชั้นสูงออกมาเพื่อประดับหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์นี้และวงการเครื่องประดับอย่างมีเรื่องราวและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
คอลเลคชั่น The Legend of Diamonds ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2018 เมื่อแบรนด์ได้พบกับเพชรดิบอย่าง ‘The Lesotho Legend’ ที่ถูกนำเสนอต่อแบรนด์โดยบริษัทตัวแทนจำหน่ายเพชรชื่อดังอย่าง Taché ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของแบรนด์ที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน เพชรดิบเม็ดนี้มีน้ำหนักกว่า 910 กะรัตและถือเป็นเพชรดิบที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลกทั้งในด้านของขนาดและคุณภาพของเพชร อีกทั้งยังมีองค์ประกอบทางเคมี ‘Type 2A’ ที่เป็นที่ต้องการอย่างสูงในวงการเพชร
โดย Van Cleef & Arpels และ Taché ขอความช่วยเหลือจาก Diamcad ผู้นำด้านการเจียระไนเพชรในเมือง Antwerp เพื่อวางแผนสำหรับการเจียระไน รวมถึงคำนวนตำแหน่งการเจียระไนเพื่อให้ออกมาเป็นงานมาซเตอร์พีซอันแสนสมบูรณ์แบบ ซึ่ง Diamcard นั้นได้ใช้เทคโนโลยีสุดล้ำสมัยเพื่อเข้ามาช่วยในการมองเห็นตำแหน่งเพชรต่างๆ ในรัตนชาติ Lesotho Legend เม็ดนี้เพื่อพิสูจน์ว่ามันสามารถกลายมาเป็นเพชรน้ำดีขนาดใหญ่ที่จะประดับอยู่บนเครื่องประดับชั้นสูงในคอลเลคชั่น The Legend of Diamonds – 25 Mystery Set Jewels Collection
ซึ่งในคอลเลคชั่น The Legend of Diamonds นี้เองเป็นโอกาสแสนหายากของแบรนด์ในการเลือกเพชรเจียระไนรูปทรงต่างๆ เพื่อใช้ประกอบขึ้นเป็นตัวเรือนตามแบบที่ต้องการก่อนทำการเจียระไนจริง เทคนิคพิเศษนี้ของ Diamcard ได้มาซึ่งสุดยอดเพชรน้ำงามขนาด 79.35 กะรัตซึ่งเป็นนางเอกของคอลเลคชั่น รวมไปถึงเหล่าบรรดาเพชรเม็ดรองที่มีน้ำหนักลดหลั่นลงมาก็คือ 51.14, 31.24 และ 25.06 กะรัต ซึ่งทางแบรนด์ทำงานกับผู้เชี่ยวชาญหลากหลายแขนงในโปรเจกต์นี้เพื่อเลือกสรรรูปทรงที่เจียระไนให้ออกมาบรรเจิดที่สุดทุกรูปทรง เช่น วงรี รูปไข่ ลูกแพร์ หยดน้ำ เหลี่ยมมรกต รวมไปถึงทรงกลมเล่นเหลี่ยมหรือที่เรียกว่า Asscher Cut เพื่อสะท้อนถึงประวัติศาสตร์และงานฝีมือของแบรนด์
การเลือกใช้อัญมณีบนชิ้นงานนั้นถูกกำหนดและตัดสินโดยเทคโนโลยี 3D เพื่อให้มองเห็นเพชรเจียระไนแต่ละเม็ดภายในเพชรดิบก้อนโตชิ้นนั้น เป็นระยะเวลากว่าหนึ่งปีที่ทีมนักอัญมณีศาสตร์ได้ใช้สายตาสุดแหลมคมและชำนาญผสมกับวิทยาการสุดล้ำสมัยเพื่อหาความสมบูรณ์แบบในผลลัพธ์ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการเจือปนและลดการสูญเสียวัสดุ และเมื่อวางแผนผังแล้วเพชรดิบจะถูกตัดแบ่งออกเป็นขนาดย่อยๆ เพื่อเข้าสู่กระบวนการการเจียระไน ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมากเนื่องจากเพชรเป็นวัสดุที่แข็งแรงมากจึงตัดได้ยาก แต่การแบ่งเพชรดิบนั้นจะถูกแยกชิ้นด้วยเทคนิคตามธรรมเนียมดั้งเดิมหรือที่เรียกว่า ‘Traditional Cleavage Technique’
หลังจากนั้นจะใช้เครื่องเจียระไนทำงานกับเพชรดิบแต่ละเม็ดที่ถูกแยกชิ้นออกมาให้ทำให้ทุกเหลี่ยมมุมของเพชรแต่ละเม็ดนั้นสามารถเปล่งประกายได้อย่างเต็มที่ ด้วยขั้นทั้งหมดที่เรากล่าวมาทำให้เกิดเพชรที่แยกย่อยมาจากเพชรดิบก่อนหลักเป็นจำนวนกว่า 67 เม็ดน้ำหนักรวม 441.75 กรัม ซึ่งเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งจากน้ำหนักของเพชรดิบก้อนต้นแบบ แต่อย่างไรเพชรแต่ละเม็ดนั้นยังคงเต็มไปด้วยคุณภาพพิเศษเหมือนเพชรดิบสุดล้ำค่าตามชื่อ The Lesotho Legend ของมันเลย และไม่ว่าเพชรเหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบไหนก็สามารถจุดประกายนักออกแบบประจำบ้านให้สร้างสรรค์ผลงานประวัติศาสตร์ประดับเมซง Van Cleef & Arpels
From Design Studio to The Place Vendome Workshops
ณ แผนกออกแบบหรือสตูดิโอออกแบบซึ่งเปรียบเสมือนหัวใจสำคัญของแบรนด์ Van Cleef & Arpels มุ่งมั่นที่จะรักษาสไตล์สุดเลอค่าของแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักกันดีผ่านคอลเลคชั่นเครื่องประดับชั้นสูงกว่า 25 ชิ้น นักออกแบบเครื่องประดับทำงานร่วมกับนักอัญมณีศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญและแผนกผลิตงานเครื่องประดับชั้นสูง เพื่อออกแบบตัวเรือนเครื่องประดับควบคู่กับการนำเทคนิคล้ำค่าที่ใช้สำหรับฝังอัญมณีมาขึ้นโครงสร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์ โดยมุ่งหมายให้เป็นเวทีรองรับความสวยงามของบรรดาเพชรน้ำงามจากเพชรดิบสุดล้ำค่า ซึ่งตัวเรือนแต่ละชิ้นนั้นถูกสร้างขึ้นจากการทำงานร่วมกันของแผนกต่างๆ เพื่อออกแบบตัวเรือนให้เข้ากับเพชรและอัญมณีชนิดต่างๆ มากที่สุดเพื่อเชิดชูความแวววาวและสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์
Van Cleef & Arpels เลือกประดับรัตนชาติแต่ละเม็ดด้วยตัวเรือนซ่อนหนามเตยซึ่งได้รับจดสิทธิบัตรคุ้มครองเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ รวมถึงจดทะเบียนการค้าที่มีชื่อเรียกว่า Mystery Set หนึ่งในลูกเล่นสุดแยบยลที่แผนกผลิตงานเครื่องประดับชั้นสูงของเมซงนั้นเชี่ยวชาญ นอกจากนั้นสตูดิโอออกแบบยังใช้เส้นโค้งเว้าสุดเย้ายวนร่วมกับการสลับสีตัดกันอย่างสดใสจากอัญมณีชนิดต่างๆ เช่น ทับทิม, ไพลิน และมรกต และใช้ทุ่มเทไปที่การหลอมรวมอัญมณี ความเบาของมวลน้ำหนัก และจังหวะการเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องในวัสดุอันล้ำค่าเหล่านี้ ภายในคอลเลคชั่นนี้ประกอบไปด้วยรูปทรงต่างๆ เพื่อถ่ายทอดจินตนาการลงสู่ชิ้นงานอย่างละเมียดละไม
เครื่องประดับทั้งคอลเลคชั่นใช้เวลาการผลิตกว่า 30,000 ชั่วโมงในการทำงานของช่างมือทองหรือ Mains d’Or ที่แปลตรงตัวได้ว่า “มือของทอง” สื่อถึงการใช้มือสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าดั่งทองอันเป็นคำที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Van Cleef & Arpels เอาไว้เรียกกลุ่มช่างฝีมือประจำห้องผลิตงาน ณ จัตุรัสว็องโมผู้ทรงคุณปการในการสืบสาน พร้อมพัฒนาทักษะความชำนาญอันเป็นมรดกของแบรนด์ให้คงดำรงอยู่ และเพื่อตอบสนองความท้าทายใหม่ๆ ช่างฝีมือแต่ละสาขา เช่น ช่างฝังอัญมณี ช่างทำตัวเรือน ช่างเจียระไน และช่างขัดต่างพูดคุยและแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันตลอดเพื่อสร้างชิ้นงานล้ำค่าอันควรค่าแก่การครอบครอง
Highlights Pieces of The Legend of Diamonds
Atours Mystérieux Transformable Necklace
เครื่องประดับชิ้นแรกที่เปรียบเสมือนนางเอกของคอลเลคชั่น The Legend of Diamonds นั่นก็คือ ‘Atours Mystérieux Transformable Necklace’ หรือ ‘สร้อยคอซ่อนหนามเตยตัวเรือนเกลียวประดับที่ดัดแปลงวิธีสวมได้’ เพชรขนาดใหญ่ที่สุดในคอลเลคชั่นน้ำหนักสูงถึง 79.35 กะรัตเจิดจรัสอยู่บนสร้อยคอเส้นนี้ เพื่อขับความงามของเพชรเม็ดนี้เมซงเลือกใช้ลูกเล่นเหลี่ยมเกสรกับงานเจียระไนทรงวงรีในสัดส่วนอันกลมกลืน ด้วยเทคนิคนั้นทำให้เพชรเม็ดนี้เล่นแสงได้อย่างเจิดจ้าและเผยความบริสุทธิ์ของน้ำเพชรอย่างหมดจด
ยังไม่พอเพราะสร้อยเส้นนี้ประดับตกแต่งด้วยบรรดาทับทิมขึ้นตัวเรือนซ่อนหนามเตยแบบดั้งเดิม รวมกับพู่ระย้าทับทิมซ่อนหนามเตยแบบเอกเทศที่ยึดอัญมณีแต่ละเม็ดให้แยกตัวออกจากกัน วงขดเกลียวเพชรสลับทับทิมของตัวเรือนสร้อยคอยังได้รับแรงบันดาลใจจากชิ้นงานระดับประวัติศาสตร์ของ Van Cleef Arpels ถึงสองชิ้นนั่นก็คือ สร้อยคอปกเสื้อ (Collerette Necklace) ที่ออกแบบไว้เมื่อปี 1938 กับสร้อยคอเพชรคู่บารมีสมเด็จพระราชินีนาซลี แห่งอียิปต์ที่สร้างสรรค์ขึ้นในปี 1939 อีกด้วย
Cheron Mystérieux Necklace
อีกหนึ่งชิ้นผลงานเด่นของคอลเลคชั่นนี้คือ ‘สร้อยคอซ่อนกระจังฟันปลา’ หรือ ‘Cheron Mystérieux Necklace’ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบมาจากแฟชั่นคอเสื้อปกป้ายอันเป็นลูกเล่นในการออกแบบชุดกลางคืนระหว่างทศวรรษ 1950 เพชรเจียระไนทรงลูกแพร์ขนาดตระการตาสามเม็ดหยาดหยดแกว่งไกวลงมาจากตัวเรือนรัตนชาติสลับสี เม็ดแรกนํ้าหนักกว่า 31 กะรัตทิ้งตัวอยู่ตรงกลางชิ้นงานโดยมีคู่ประกบขนาบข้างอีกสองเม็ดคือขนาด 12.18 และ 12.07 กะรัตตามลําดับ
รูปทรงอันได้สมดุล ไม่ยาวเกิน หรือลึกเกินมอบคุณลักษณ์ทางการสะท้อนแสงทอประกายพร่างพรายหลากทิศทางอันเป็นผลจากการคํานวณหน้าตัดสลับเหลี่ยมมุมมากมายที่รายรอบ และเพื่อสืบทอดธรรมเนียมเครื่องประดับ ซึ่งสามารถพลิกแพลงวิธีสวมใส่ได้ของเมซง สร้อยคอเส้นนี้สามารถดัดแปลงจําแลงลักษณะได้ถึงหกรูปแบบอย่างเช่น โมทิฟจี้เพชรกลางสามารถปลดออกไปประกอบกับสร้อยคอสายโซ่อีกเส้นได้ ในขณะที่เพชรอีกสองเม็ดก็สลับตําแหน่งไปเป็นระย้าประดับต่างหู
Entrelacs Mystérieux Bracelet
อีกหนึ่งไฮไลต์สุดท้ายที่ดูแตกต่างและมีลูกเล่นก็คือ ‘กำไลซ่อนหนามเตยลายขดไขว้’ หรือ Entrelacs Mystérieux Bracelet’ ที่ถูกประดับด้วยเพชรจัตุรัสมุมมนเล่นเหลี่ยมขั้นบันไดหรือ ‘Asscher’ สองเม็ดใหญ่ที่ถูกจัดตำแหน่งให้บรรจบกันอยู่บนวงกำไล ซึ่งเพชรสองเม็ดได้ถูกพิจารณาถึงความทัดเทียมเท่ากันทุกประการอย่างสมบูรณ์ในแง่ของสี, ความบริสุทธิ์ และประกายกระจ่างจากไฟในน้ำเพชรที่เจิดจรัส ซึ่งทั้งสองเม็ดมีน้ำหนักเท่ากันคือเม็ดละ 10.88 กะรัต
เส้นกราฟิกจากเหลี่ยมมุมหน้าตัดจากรูปทรงจัตุรัสมุมมนของเพชรอาสเชอร์คัท ยังเผยความคมชัดอย่างเฉียบขาดอยู่บนลูกเล่นขัดแย้งกลางวงล้อมของงานออกแบบอันสะท้อนถึงบรรดากําไลปลายเปิดรุ่นต่างๆ ดังมีปรากฏมาตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของ Van Cleef & Arpels อาทิ กําไลโค้งเขาแพะหรือ Cornucopia (เป็นชื่อเรียกเครื่องประดับหรือภาชนะรูปทรงเขาแพะ อันถือเป็นสิริมงคลตามความเชื่อที่ว่าเขาแพะคือกรวยบรรจุศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในการเก็บอาหารและเครื่องดื่มให้อุดมสมบูรณ์ไม่ขาดสายอยู่ตลอดเวลา)